วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

วัวตัวนั้น ที่ต้องฆ่า [2]


     เขาไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า  ”ครูครับ ครูทำอะไรลงไป
น่ะ„  เขาถามด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว แต่ก็ต้องกระซิบถามเพื่อไม่ให้
คนในกระท่อมตื่นขึ้นมา  ”ครูฆ่าวัวที่น่าสงสารนั้นได้ยังไง นี่มันเป็นบท
เรียนแบบไหนกันล่ะที่จะต้องทิ้งครอบครัวนี้ให้ตกอยู่ในความหายนะ
อย่างที่สุด  แม่วัวตัวนี้เป็นสิ่งเดียวที่พวกเขามีนะครับครูแล้วพวกเขาจะ
อยู่กันยังไง„
     ครูไม่ได้กังวลกับความเสียใจของลูกศิษย์และไม่ได้ใส่ใจคำถาม
ของเขา แต่กลับเร่งเดินหนีภาพน่าสยดสยองนั้น  ครูไม่มีท่าทีใส่ใจกับ
ชะตากรรมที่รอคอยครอบครัวที่น่าเวทนาซึ่งต้องสูญเสียแม่วัวนั้นไปเลยลูกศิษย์หนุ่มเดินตามครูชราไปทั้งๆที่ยังสับสน เขาเดินอยู่หลังครูหนึ่ง
ก้าวขณะออกเดินทางต่อไป
     ครอบครัวที่น่าสงสารต้องกล้ำกลืนเผชิญชะตากรรมที่มืดมิดของ
ตนอย่างไร้จุดหมาย ทั้งๆที่อาจจะต้องเจอกับชีวิตที่เลวร้ายหนักขึ้น
ในอีกหลายวันต่อมา ชายหนุ่มต้องถูกหลอกหลอนด้วยความคิด
ที่น่าสะพรึงกลัวว่า เมื่อไม่มีแม่วัวแล้ว ครอบครัวที่ยากจนนั้นจะอยู่ได้
อย่างไร พวกเขาจะต้องอดตายเป็นแน่  เขาไม่สามารถจะคิดเป็นอื่นจาก
การสิ้นสลายแหล่งยังชีพแหล่งเดียวของครอบครัวนี้ไปแล้ว 
ในอีกหลายเดือนต่อมาความคิดนี้ก็ยังรบกวนเขาอยู่ ที่สำคัญ
ที่สุด เขาก็ผิดหวังในตัวเองที่ไม่เคยถามครูในวันที่เกิดเหตุสุดสยองนั้น
หนึ่งปีผ่านไป ในบ่ายวันหนึ่งครูชราก็ชักชวนว่าพวกเขาน่าจะ
กลับไปที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งนั้นอีก เพื่อดูว่าครอบครัวนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
คำพูดนี้ทำให้ภาพที่ศิษย์หนุ่มลืมไปแล้ว ถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ใน
ความทรงจำที่ยังแจ่มชัดถึงบทเรียนในครั้งนั้น แม้แต่ในวันนี้เขาก็ยังไม่
เข้าใจมันเลย
     และแล้ว สมองของเขาก็เต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับครอบครัว
ยากไร้และสิ่งที่เขาจะต้องรับผิดชอบต่อชะตากรรมของครอบครัวนั้น
พวกเขาจะเป็นอย่างไรหนอ  พวกเขาจะอยู่รอดปลอดภัยหรือไม่  หรือ
พวกเขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่  ตัวเขาเองจะเผชิญหน้าคนเหล่านั้นได้ไหม
จากสิ่งที่ครูและเขาได้ทำทิ้งไว้  ทั้งๆที่ชายหนุ่มมีความคิดไม่พอใจอยู่แต่
เขาก็ไม่ลังเลที่จะเต็มใจยอมรับการออกเดินทางครั้งนี้ซึ่งจะช่วยไขความ
กระจ่างต่อเหตุการณ์สะเทือนใจเมื่อปีที่แล้ว
     หลังจากการเดินทางเป็นเวลาหลายวัน ทั้งสองก็ไปถึงที่หมู่บ้าน
พวกเขาต้องเสียเวลาหากระท่อมหลังนั้นอยู่นาน  แม้บริเวณโดยรอบจะังดูเหมือนเดิม แต่กระท่อมหลังที่พวกเขาได้มาพักค้างเมื่อปีที่แล้วนั้น
ไม่อยู่ที่นั่นเสียแล้ว แต่กลับมีบ้านหลังใหม่ที่ดูดีกว่าขึ้นมาแทนใน
ตำแหน่งเดิม  พวกเขาหยุด และมองผ่านบ้านหลังนั้นไปรอบๆ เพื่อให้
แน่ใจว่าพวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องแล้ว
     ชายหนุ่มเกรงว่าความตายของแม่วัวจะกลายเป็นสิ่งเลวร้ายแสน
สาหัสเกินกว่าที่ครอบครัวธรรมดาอย่างนั้นจะรับไหว  บางทีพวกเขาอาจ
ถูกบังคับให้ออกไปจากที่ดินของตน และมีครอบครัวใหม่ที่ฐานะดีกว่ามา
ครอบครองที่ดินแห่งนี้แทนและได้สร้างบ้านหลังใหม่ไว้ที่นี่  อะไรอีก
หนอจะเกิดกับครอบครัวนี้บ้าง  บางทีความน่าอับอายอาจผลักไสให้
พวกเขาต้องอพยพจากที่นี่ไป
     ในขณะที่ความคิดเหล่านี้วิ่งเข้ามาในสมองของชายหนุ่ม เขาก็ไม่รู้
จะตัดสินใจอย่างไรดีระหว่างการหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัว
นี้หรือไม่ก็ไปตามทางของตน หลีกเลี่ยงสิ่งที่เขาไม่อยากทำ นั่นคือการ
ค้นพบว่าสิ่งต่างๆมันเลวร้ายตามที่เขาคิดจริงๆ   
     แต่ชายหนุ่มก็เลือกที่จะตามหาความจริง เพราะเขาอยากจะรู้ให้ได้
ว่าเกิดอะไรขึ้น  ดังนั้น เขาจึงเคาะประตูบ้าน แล้วก็รอ
ไม่นานนัก ก็มีชายที่ดูดีคนหนึ่งมาเปิดประตู  ในทีแรก ชายหนุ่ม
ไม่ทันได้สังเกตชายคนนี้แต่แล้วเขาก็ไม่สามารถซ่อนเร้นความตกตะลึง
บนใบหน้าของตนเองได้เมื่อชายหนุ่มตระหนักว่าชายเจ้าของบ้านคนนี้ก็
คือคนคนเดียวกับผู้ให้ที่พักพิงแก่เขาเมื่อปีที่แล้ว  ต้องเป็นชายคน
เดียวกันแน่ๆ แต่มีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไป  เขาสวมเสื้อผ้าที่สะอาด
และแต่งตัวดีเขายิ้มและมีนัยน์ตาที่เป็นประกาย  เห็นได้ชัดเจนว่าจะ
ต้องมีอะไรที่พิเศษเกิดขึ้นกับชีวิตของเขาแน่ๆ
     ศิษย์หนุ่มแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเองเลย  มันเป็นไปได้
อย่างไรกัน  อะไรกันนะที่บังเกิดขึ้นในหนึ่งปีที่ผ่านมานี้  ชายหนุ่มจึงรีบเดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อทักทายชายที่มาเปิดประตูและไม่รีรอที่จะถามเขา
     เกี่ยวกับโชคดีที่เขาและครอบครัวได้รับ
”เมื่อหนึ่งปีมานี้ขณะที่เรามาแวะพักค้างคืนที่นี่„  ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
”ดูเหมือนคุณกำลังอยู่ในสภาพที่หมดอาลัยตายอยาก  ช่วยบอกผม
หน่อยเถอะว่าเกิดอะไรขึ้นนับตั้งแต่นั้น อะไรที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง
เปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้  คุณโชคดีได้ยังไง„
โดยไม่ใส่ใจว่าชายแปลกหน้าสองคนนี้แหละคือผู้ที่จะต้องรับ-
ผิดชอบต่อการฆ่าแม่วัวของเขา  ชายเจ้าของบ้านได้เชื้อเชิญให้ทั้งคู่เข้าไป
ในบ้าน และเริ่มต้นเล่าเรื่องที่เหลือเชื่อให้ทั้งคู่ฟัง  มันเป็นเรื่องราวที่จะ
เปลี่ยนชีวิตของชายหนุ่มไปทั้งชีวิตเลยทีเดียว
     เขาเล่าว่า ในเช้าวันที่ทั้งสองเดินทางจากไป ช่างเป็นเหตุบังเอิญ
เหลือเกินที่มีคนร้ายที่อาจจะอยากซ้ำเติมความอับโชคของพวกเขา ได้ฆ่า
วัวของพวกเขาอย่างโหดร้ายทารุณ 
”ผมต้องขอสารภาพว่า„  ชายเจ้าของบ้านพูด  ”ในทีแรกนั้น เรา
ทั้งหมดหวังและทั้งโกรธ  นับเป็นเวลานานมากแล้วที่น้ำนมจากแม่วัวตัว
นั้นเป็นแหล่งอาหารแหล่งเดียวที่ช่วยประทังชีวิตเรา  นอกจากนี้มันยัง
เป็นทรัพย์สินชิ้นเดียวที่เรามี  ชีวิตของเราขึ้นอยู่กับมัน มันเป็นศูนย์
กลางในชีวิตของพวกเราก็ว่าได้  การเป็นเจ้าของวัวยิ่งทำให้เรารู้สึกมั่นคง
และมันก็ทำให้เราได้รับความนับถือจากเพื่อนบ้าน
    ”ไม่นานหลังจากวันแห่งโศกนาฏกรรมนั้น เราก็ได้ตระหนักว่า
หากไม่ลุกขึ้นมาทำอะไร เราก็จะต้องเจอกับสิ่งที่เลวร้ายกว่าเดิมในเร็ววัน
เราอยู่ในจุดที่แย่ที่สุดแล้วเมื่อไม่มีวัวตัวนั้น เราต้องหาเลี้ยงตัวเองและ
เด็กๆของเราให้ได้  ดังนั้น เราจึงถางพื้นที่เล็กๆที่รกร้างหลังบ้าน และ
หว่านเมล็ดพันธุ์ผักลงไปเพื่อปลูกผัก  และนั่นคือวิธีที่เราสามารถอยู่รอดในช่วงเดือนแรกๆหลังจากวันที่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายนั้น
”หลังจากนั้นสักพัก เราก็คิดได้ว่าสวนผักเล็กๆนั้นได้ให้ผลผลิต
มากเกินกว่าที่เราจะกินกันในครอบครัว  หากเรานำผักส่วนที่เหลือไปขาย
ให้กับเพื่อนบ้าน เราก็จะมีเงินซื้อเมล็ดพันธุ์มากขึ้น  เราจึงไปซื้อเมล็ด
พันธุ์ผักมาปลูกอีก  และไม่นานหลังจากนั้นเราก็มีอาหารพอเพียงสำหรับ
ครอบครัว และยังมีผักอีกมากที่จะนำไปขายที่ตลาดในเมือง
”และแล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น!„  ชายเจ้าของบ้านกล่าวด้วย
น้ำเสียงเปี่ยมสุข  ”นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เรามีเงินสำหรับใช้จ่ายค่า
อาหารและค่าเสื้อผ้า นั่นคือช่วงเวลาที่รู้ว่าเรามีความหวังสำหรับชีวิตใหม่
แล้ว  ชีวิตที่เราไม่เคยคาดหวังหรือกล้าที่จะฝันถึง
”เมื่อเดือนที่แล้ว เราได้สร้างบ้านใหม่หลังเล็กๆนี้  คล้ายกับว่า
การสูญเสียแม่วัวไปนั้นได้เปิดโลกใหม่ให้กับเราเพื่อไปสู่ชีวิตที่รุ่งเรืองขึ้น„
ชายหนุ่มถึงกับตะลึงเมื่อได้ฟังเรื่องเล่า  ในที่สุด เขาก็เข้าใจในบท
เรียนที่ครูชราผู้เป็นที่รักของเขาตั้งใจจะสอนสั่ง  ทันใดนั้น เขาก็เข้าใจได้
อย่างชัดเจนว่า ความตายของแม่วัวตัวนั้นไม่ใช่จุดจบของครอบครัวนี้
อย่างที่เขากลัว แต่มันได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ที่เต็มไปด้วย
โอกาสที่ดีกว่าเดิม
ส่วนครูชราที่ได้แต่นิ่งงันมาตลอด ได้ดึงตัวลูกศิษย์เข้ามาหา และ
ถามว่า  ”เจ้าคิดว่าครอบครัวนี้จะประสบความสำเร็จในทุกสิ่งตลอดในปี
ที่ผ่านมานี้ไหม หากพวกเขายังมีแม่วัวตัวนั้นอยู่„
”คงจะไม่ละครับ ครู„  ชายหนุ่มผู้เป็นลูกศิษย์ตอบอย่างไม่ต้อง
ลังเล
”คราวนี้เจ้ารู้หรือยัง ว่าแม่วัวที่พวกเขาชื่นชมว่าเป็นทรัพย์สินที่มี
ค่านั้น แท้จริงแล้วคือเครื่องพันธนาการที่คอยผูกพวกเขาไว้กับชีวิตที่
ยากจนและความธรรมดาสามัญ  พวกเขาคุ้นเคยกับการคิดว่าแม่วัวตัวนั้นจะช่วยให้พวกเขาอยู่รอด แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น  จนกระทั่งพวกเขา
สูญเสียความมั่นคงที่จอมปลอมนั้นไป และจำเป็นต้องหาหนทางใหม่„
”พูดอีกอย่างก็คือ วัวตัวนั้นที่เพื่อนบ้านมองเห็นว่าเป็นพรของ
ครอบครัว ทำให้ครอบครัวนี้รู้สึกว่าพวกเขายังไม่ได้ยากจนเสียทีเดียวนัก
ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขากำลังมีชีวิตที่ย่ำแย่มาก„  ศิษย์หนุ่ม
ออกความเห็น
”ใช่แล้ว„  ครูชราตอบ  ”นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น  เมื่อเจ้าบอกตัวเองว่า
สิ่งที่ตนเองมีอยู่นั้นมีมากพอแล้ว ความคิดนี้แหละที่จะเป็นโซ่ตรวนที่
คอยขัดขวางไม่ให้เจ้ามองเห็นอะไรที่ดีกว่า  เพราะเจ้าถูกความพอใจนี้
ครอบงำไปแล้ว เจ้าจึงยอมรับสถานการณ์ของเจ้า แทนที่จะรู้สึกไม่
พอใจมัน  เจ้ารู้ดีว่าเจ้าก็ไม่ได้มีความสุขสักเท่าไหร่กับชีวิตแบบนี้แต่ก็
ไม่รู้สึกว่าแย่อะไรนัก  เจ้ารู้สึกผิดหวังกับชีวิต แต่ก็ไม่รู้สึกว่าลำบากมาก
พอที่จะทำอะไรกับมัน  เจ้าเห็นหรือยังว่ามันน่าสลดใจสักแค่ไหน
    ”เมื่อเจ้ามีงานที่เจ้าไม่ชอบ งานที่ไม่ทำให้เจ้าได้รับในสิ่งที่เป็น
ความต้องการพื้นฐาน และไม่ทำให้เจ้าได้รับความพึงพอใจส่วนตัว หรือมี
ชีวิตที่เจ้าต้องการอย่างแท้จริง การตัดสินใจที่จะลาออกและหางานใหม่
นั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย  แต่เมื่องานที่เจ้าไม่ชอบนี้ทำให้เจ้าสามารถมีเงินมา
จ่ายหนี้มีชีวิตรอด และพึงพอใจกับความสุขสบายเล็กๆน้อยๆ  ดังนั้น
มันจึงง่ายที่เจ้าจะตกลงไปในหลุมพรางของความพึงพอใจซึ่งอย่างน้อย
ก็ทำให้เรามีอะไรบางอย่าง  ยังไงก็ตามเจ้าก็คิดว่า สำหรับบางคนการมี
งานทำก็นับว่าเป็นบุญแล้ว
”ก็เหมือนกับวัวนั่นแหละ ทัศนคตินี้มักจะคอยรั้งเราเอาไว้  หาก
เจ้าไม่กำจัดมันออกไปเสีย เจ้าก็ไม่มีวันจะได้เจออะไรที่ต่างไปจากเดิม
เจ้าจะถูกประณามที่ปล่อยให้ชีวิตตกเป็นเหยื่อของขีดจำกัดที่เจ้าสร้างขึ้น
มาเอง  มันดูเหมือนกับว่า เจ้าได้ตัดสินใจที่จะเอาผ้ามาผูกตาตนเองตั้งแต่จุดเริ่มต้น และจากนั้นก็ได้แต่ภาวนาให้เกิดแต่สิ่งที่ดีที่สุด„
     ศิษย์หนุ่มยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เขารู้สึกทึ่งกับการสังเกตการณ์ของครู
และเริ่มที่จะมองเห็นสิ่งที่ครูสอนชัดเจนขึ้น  ”เราต่างก็มี‘วัวหลายตัว’
ในชีวิต เราต่างก็แบกรับภาระที่หนักอึ้งจากความเชื่อที่ผิดๆของเราเอง
ข้ออ้าง ความกลัว และเหตุผลของเรา  ที่น่าเศร้าใจก็คือ ข้อจำกัดที่เรา
ขีดไว้ให้ตัวเองนี้จะทำให้ชีวิตของเราอยู่กับความธรรมดาแบบคนทั่วไป„
”ไม่เพียงแต่เท่านั้นหรอก„  ครูชรากล่าวเสริม  ”หลายคนยังคง
อดทนกับข้ออ้างว่า ทำไมพวกเขาจึงไม่ใช้ชีวิตอย่างที่พวกเขาใฝ่ฝัน  พวก
เขาสร้างข้ออ้างที่เหลือเชื่อขึ้นมาเพื่อที่จะอธิบายเรื่องราวของตนให้ผู้อื่น
ฟัง จากนั้นก็ใช้ชีวิตที่สับสนวุ่นวายต่อไป ขณะที่เขาตระหนักว่า คำ
อธิบายเหล่านั้นแม้จะฟังดูน่าเชื่อสำหรับคนอื่น แต่มันก็ไม่มีประโยชน์
อะไรสำหรับตัวเขาเอง„   
     ”ช่างเป็นบทเรียนที่ดีจริงๆครับ„  ชายหนุ่มบอกถึงความรู้สึกของ
เขา และก็เริ่มนับวัวแห่งข้ออ้างของตัวเองในทันที
ตลอดการเดินทางที่เหลือ ชายหนุ่มได้เฝ้าใคร่ครวญถึง ”ข้อ
จำกัด„ ต่างๆที่เขามีมาตลอดชีวิต  เขาสัญญาว่าจะละทิ้งความเชื่อ
ทั้งหมดที่คอยล่ามเขาไว้กับสิ่งพื้นๆและจะลบล้างความธรรมดาอันเป็น
ปกติวิสัยที่คอยกีดขวางไม่ให้เขาใช้ศักยภาพที่แท้จริง

     จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ในวันนั้นได้กลายเป็นวันเริ่มต้น
ชีวิตใหม่ชีวิตที่จะปลอดจาก ”ข้ออ้างใดๆ" ทั้งสิ้น ชายหนุ่ม
คิด  


ดร.คามิโล ครูซ .....เขียน
อมรรัตน์ ศรีสุรินทร์ .....แปล


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น