วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

4 Leaf Clover เครื่องรางนำโชค


4 Leaf Clover
Trifolium repens ชื่อสายพันธ์
Clover ชื่อเรียกทั่วไป
เป็นต้นไม้ประจำชาติของไอร์แลนด์ ชื่อว่า Shamrock
4 Klee ใบโคลเวอร์ในภาษาเยอรมัน และปัจจุบันมีนักดนตรีนำไปใช้เป็นชื่อวง

"โอกาสพบโคลเวอร์ 4กลีบ มีเพียง 1ใน 10,000"
"One leaf for Faith
The second is for Hope
The third for Love
and The fourth for Luck"

มีความเชื่อว่า วงแหวน หรือมงกุฏที่ร้อยจากดอกโคลเวอร์สามกรีบธรรมดานั้น แทนคำมั่นสัญญาจากชายหนุ่มให้หญิงสาวในทางตะวันตก แพราะกรีบที่สาม กล่าวถึง "ความรัก" นั่นเอง

มีความเชื่อในหนังสือภูติแห่งดวงจันทร์ทั้งสิบสามดวงกล่าวไว้ว่า "ถ้าอยากเห็นภูตินางไม้ ให้ตั้งสมาธิให้แน่วแน่ พร้อมนำเมล็ดธัญพืชทั้ง 7เมล็ด (ตามเลขนำโชคชาวยุโรป) มาวางไว้บนกรีบโคลเวอร์ที่มีสี่ใบ แล้วภูติ หรือนางไม้จะปรากฏตัว

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

วัวตัวนั้น ที่ต้องฆ่า [2]


     เขาไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า  ”ครูครับ ครูทำอะไรลงไป
น่ะ„  เขาถามด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว แต่ก็ต้องกระซิบถามเพื่อไม่ให้
คนในกระท่อมตื่นขึ้นมา  ”ครูฆ่าวัวที่น่าสงสารนั้นได้ยังไง นี่มันเป็นบท
เรียนแบบไหนกันล่ะที่จะต้องทิ้งครอบครัวนี้ให้ตกอยู่ในความหายนะ
อย่างที่สุด  แม่วัวตัวนี้เป็นสิ่งเดียวที่พวกเขามีนะครับครูแล้วพวกเขาจะ
อยู่กันยังไง„
     ครูไม่ได้กังวลกับความเสียใจของลูกศิษย์และไม่ได้ใส่ใจคำถาม
ของเขา แต่กลับเร่งเดินหนีภาพน่าสยดสยองนั้น  ครูไม่มีท่าทีใส่ใจกับ
ชะตากรรมที่รอคอยครอบครัวที่น่าเวทนาซึ่งต้องสูญเสียแม่วัวนั้นไปเลยลูกศิษย์หนุ่มเดินตามครูชราไปทั้งๆที่ยังสับสน เขาเดินอยู่หลังครูหนึ่ง
ก้าวขณะออกเดินทางต่อไป
     ครอบครัวที่น่าสงสารต้องกล้ำกลืนเผชิญชะตากรรมที่มืดมิดของ
ตนอย่างไร้จุดหมาย ทั้งๆที่อาจจะต้องเจอกับชีวิตที่เลวร้ายหนักขึ้น
ในอีกหลายวันต่อมา ชายหนุ่มต้องถูกหลอกหลอนด้วยความคิด
ที่น่าสะพรึงกลัวว่า เมื่อไม่มีแม่วัวแล้ว ครอบครัวที่ยากจนนั้นจะอยู่ได้
อย่างไร พวกเขาจะต้องอดตายเป็นแน่  เขาไม่สามารถจะคิดเป็นอื่นจาก
การสิ้นสลายแหล่งยังชีพแหล่งเดียวของครอบครัวนี้ไปแล้ว 
ในอีกหลายเดือนต่อมาความคิดนี้ก็ยังรบกวนเขาอยู่ ที่สำคัญ
ที่สุด เขาก็ผิดหวังในตัวเองที่ไม่เคยถามครูในวันที่เกิดเหตุสุดสยองนั้น
หนึ่งปีผ่านไป ในบ่ายวันหนึ่งครูชราก็ชักชวนว่าพวกเขาน่าจะ
กลับไปที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งนั้นอีก เพื่อดูว่าครอบครัวนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
คำพูดนี้ทำให้ภาพที่ศิษย์หนุ่มลืมไปแล้ว ถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ใน
ความทรงจำที่ยังแจ่มชัดถึงบทเรียนในครั้งนั้น แม้แต่ในวันนี้เขาก็ยังไม่
เข้าใจมันเลย
     และแล้ว สมองของเขาก็เต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับครอบครัว
ยากไร้และสิ่งที่เขาจะต้องรับผิดชอบต่อชะตากรรมของครอบครัวนั้น
พวกเขาจะเป็นอย่างไรหนอ  พวกเขาจะอยู่รอดปลอดภัยหรือไม่  หรือ
พวกเขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่  ตัวเขาเองจะเผชิญหน้าคนเหล่านั้นได้ไหม
จากสิ่งที่ครูและเขาได้ทำทิ้งไว้  ทั้งๆที่ชายหนุ่มมีความคิดไม่พอใจอยู่แต่
เขาก็ไม่ลังเลที่จะเต็มใจยอมรับการออกเดินทางครั้งนี้ซึ่งจะช่วยไขความ
กระจ่างต่อเหตุการณ์สะเทือนใจเมื่อปีที่แล้ว
     หลังจากการเดินทางเป็นเวลาหลายวัน ทั้งสองก็ไปถึงที่หมู่บ้าน
พวกเขาต้องเสียเวลาหากระท่อมหลังนั้นอยู่นาน  แม้บริเวณโดยรอบจะังดูเหมือนเดิม แต่กระท่อมหลังที่พวกเขาได้มาพักค้างเมื่อปีที่แล้วนั้น
ไม่อยู่ที่นั่นเสียแล้ว แต่กลับมีบ้านหลังใหม่ที่ดูดีกว่าขึ้นมาแทนใน
ตำแหน่งเดิม  พวกเขาหยุด และมองผ่านบ้านหลังนั้นไปรอบๆ เพื่อให้
แน่ใจว่าพวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องแล้ว
     ชายหนุ่มเกรงว่าความตายของแม่วัวจะกลายเป็นสิ่งเลวร้ายแสน
สาหัสเกินกว่าที่ครอบครัวธรรมดาอย่างนั้นจะรับไหว  บางทีพวกเขาอาจ
ถูกบังคับให้ออกไปจากที่ดินของตน และมีครอบครัวใหม่ที่ฐานะดีกว่ามา
ครอบครองที่ดินแห่งนี้แทนและได้สร้างบ้านหลังใหม่ไว้ที่นี่  อะไรอีก
หนอจะเกิดกับครอบครัวนี้บ้าง  บางทีความน่าอับอายอาจผลักไสให้
พวกเขาต้องอพยพจากที่นี่ไป
     ในขณะที่ความคิดเหล่านี้วิ่งเข้ามาในสมองของชายหนุ่ม เขาก็ไม่รู้
จะตัดสินใจอย่างไรดีระหว่างการหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัว
นี้หรือไม่ก็ไปตามทางของตน หลีกเลี่ยงสิ่งที่เขาไม่อยากทำ นั่นคือการ
ค้นพบว่าสิ่งต่างๆมันเลวร้ายตามที่เขาคิดจริงๆ   
     แต่ชายหนุ่มก็เลือกที่จะตามหาความจริง เพราะเขาอยากจะรู้ให้ได้
ว่าเกิดอะไรขึ้น  ดังนั้น เขาจึงเคาะประตูบ้าน แล้วก็รอ
ไม่นานนัก ก็มีชายที่ดูดีคนหนึ่งมาเปิดประตู  ในทีแรก ชายหนุ่ม
ไม่ทันได้สังเกตชายคนนี้แต่แล้วเขาก็ไม่สามารถซ่อนเร้นความตกตะลึง
บนใบหน้าของตนเองได้เมื่อชายหนุ่มตระหนักว่าชายเจ้าของบ้านคนนี้ก็
คือคนคนเดียวกับผู้ให้ที่พักพิงแก่เขาเมื่อปีที่แล้ว  ต้องเป็นชายคน
เดียวกันแน่ๆ แต่มีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไป  เขาสวมเสื้อผ้าที่สะอาด
และแต่งตัวดีเขายิ้มและมีนัยน์ตาที่เป็นประกาย  เห็นได้ชัดเจนว่าจะ
ต้องมีอะไรที่พิเศษเกิดขึ้นกับชีวิตของเขาแน่ๆ
     ศิษย์หนุ่มแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเองเลย  มันเป็นไปได้
อย่างไรกัน  อะไรกันนะที่บังเกิดขึ้นในหนึ่งปีที่ผ่านมานี้  ชายหนุ่มจึงรีบเดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อทักทายชายที่มาเปิดประตูและไม่รีรอที่จะถามเขา
     เกี่ยวกับโชคดีที่เขาและครอบครัวได้รับ
”เมื่อหนึ่งปีมานี้ขณะที่เรามาแวะพักค้างคืนที่นี่„  ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
”ดูเหมือนคุณกำลังอยู่ในสภาพที่หมดอาลัยตายอยาก  ช่วยบอกผม
หน่อยเถอะว่าเกิดอะไรขึ้นนับตั้งแต่นั้น อะไรที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง
เปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้  คุณโชคดีได้ยังไง„
โดยไม่ใส่ใจว่าชายแปลกหน้าสองคนนี้แหละคือผู้ที่จะต้องรับ-
ผิดชอบต่อการฆ่าแม่วัวของเขา  ชายเจ้าของบ้านได้เชื้อเชิญให้ทั้งคู่เข้าไป
ในบ้าน และเริ่มต้นเล่าเรื่องที่เหลือเชื่อให้ทั้งคู่ฟัง  มันเป็นเรื่องราวที่จะ
เปลี่ยนชีวิตของชายหนุ่มไปทั้งชีวิตเลยทีเดียว
     เขาเล่าว่า ในเช้าวันที่ทั้งสองเดินทางจากไป ช่างเป็นเหตุบังเอิญ
เหลือเกินที่มีคนร้ายที่อาจจะอยากซ้ำเติมความอับโชคของพวกเขา ได้ฆ่า
วัวของพวกเขาอย่างโหดร้ายทารุณ 
”ผมต้องขอสารภาพว่า„  ชายเจ้าของบ้านพูด  ”ในทีแรกนั้น เรา
ทั้งหมดหวังและทั้งโกรธ  นับเป็นเวลานานมากแล้วที่น้ำนมจากแม่วัวตัว
นั้นเป็นแหล่งอาหารแหล่งเดียวที่ช่วยประทังชีวิตเรา  นอกจากนี้มันยัง
เป็นทรัพย์สินชิ้นเดียวที่เรามี  ชีวิตของเราขึ้นอยู่กับมัน มันเป็นศูนย์
กลางในชีวิตของพวกเราก็ว่าได้  การเป็นเจ้าของวัวยิ่งทำให้เรารู้สึกมั่นคง
และมันก็ทำให้เราได้รับความนับถือจากเพื่อนบ้าน
    ”ไม่นานหลังจากวันแห่งโศกนาฏกรรมนั้น เราก็ได้ตระหนักว่า
หากไม่ลุกขึ้นมาทำอะไร เราก็จะต้องเจอกับสิ่งที่เลวร้ายกว่าเดิมในเร็ววัน
เราอยู่ในจุดที่แย่ที่สุดแล้วเมื่อไม่มีวัวตัวนั้น เราต้องหาเลี้ยงตัวเองและ
เด็กๆของเราให้ได้  ดังนั้น เราจึงถางพื้นที่เล็กๆที่รกร้างหลังบ้าน และ
หว่านเมล็ดพันธุ์ผักลงไปเพื่อปลูกผัก  และนั่นคือวิธีที่เราสามารถอยู่รอดในช่วงเดือนแรกๆหลังจากวันที่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายนั้น
”หลังจากนั้นสักพัก เราก็คิดได้ว่าสวนผักเล็กๆนั้นได้ให้ผลผลิต
มากเกินกว่าที่เราจะกินกันในครอบครัว  หากเรานำผักส่วนที่เหลือไปขาย
ให้กับเพื่อนบ้าน เราก็จะมีเงินซื้อเมล็ดพันธุ์มากขึ้น  เราจึงไปซื้อเมล็ด
พันธุ์ผักมาปลูกอีก  และไม่นานหลังจากนั้นเราก็มีอาหารพอเพียงสำหรับ
ครอบครัว และยังมีผักอีกมากที่จะนำไปขายที่ตลาดในเมือง
”และแล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น!„  ชายเจ้าของบ้านกล่าวด้วย
น้ำเสียงเปี่ยมสุข  ”นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เรามีเงินสำหรับใช้จ่ายค่า
อาหารและค่าเสื้อผ้า นั่นคือช่วงเวลาที่รู้ว่าเรามีความหวังสำหรับชีวิตใหม่
แล้ว  ชีวิตที่เราไม่เคยคาดหวังหรือกล้าที่จะฝันถึง
”เมื่อเดือนที่แล้ว เราได้สร้างบ้านใหม่หลังเล็กๆนี้  คล้ายกับว่า
การสูญเสียแม่วัวไปนั้นได้เปิดโลกใหม่ให้กับเราเพื่อไปสู่ชีวิตที่รุ่งเรืองขึ้น„
ชายหนุ่มถึงกับตะลึงเมื่อได้ฟังเรื่องเล่า  ในที่สุด เขาก็เข้าใจในบท
เรียนที่ครูชราผู้เป็นที่รักของเขาตั้งใจจะสอนสั่ง  ทันใดนั้น เขาก็เข้าใจได้
อย่างชัดเจนว่า ความตายของแม่วัวตัวนั้นไม่ใช่จุดจบของครอบครัวนี้
อย่างที่เขากลัว แต่มันได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ที่เต็มไปด้วย
โอกาสที่ดีกว่าเดิม
ส่วนครูชราที่ได้แต่นิ่งงันมาตลอด ได้ดึงตัวลูกศิษย์เข้ามาหา และ
ถามว่า  ”เจ้าคิดว่าครอบครัวนี้จะประสบความสำเร็จในทุกสิ่งตลอดในปี
ที่ผ่านมานี้ไหม หากพวกเขายังมีแม่วัวตัวนั้นอยู่„
”คงจะไม่ละครับ ครู„  ชายหนุ่มผู้เป็นลูกศิษย์ตอบอย่างไม่ต้อง
ลังเล
”คราวนี้เจ้ารู้หรือยัง ว่าแม่วัวที่พวกเขาชื่นชมว่าเป็นทรัพย์สินที่มี
ค่านั้น แท้จริงแล้วคือเครื่องพันธนาการที่คอยผูกพวกเขาไว้กับชีวิตที่
ยากจนและความธรรมดาสามัญ  พวกเขาคุ้นเคยกับการคิดว่าแม่วัวตัวนั้นจะช่วยให้พวกเขาอยู่รอด แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น  จนกระทั่งพวกเขา
สูญเสียความมั่นคงที่จอมปลอมนั้นไป และจำเป็นต้องหาหนทางใหม่„
”พูดอีกอย่างก็คือ วัวตัวนั้นที่เพื่อนบ้านมองเห็นว่าเป็นพรของ
ครอบครัว ทำให้ครอบครัวนี้รู้สึกว่าพวกเขายังไม่ได้ยากจนเสียทีเดียวนัก
ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขากำลังมีชีวิตที่ย่ำแย่มาก„  ศิษย์หนุ่ม
ออกความเห็น
”ใช่แล้ว„  ครูชราตอบ  ”นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น  เมื่อเจ้าบอกตัวเองว่า
สิ่งที่ตนเองมีอยู่นั้นมีมากพอแล้ว ความคิดนี้แหละที่จะเป็นโซ่ตรวนที่
คอยขัดขวางไม่ให้เจ้ามองเห็นอะไรที่ดีกว่า  เพราะเจ้าถูกความพอใจนี้
ครอบงำไปแล้ว เจ้าจึงยอมรับสถานการณ์ของเจ้า แทนที่จะรู้สึกไม่
พอใจมัน  เจ้ารู้ดีว่าเจ้าก็ไม่ได้มีความสุขสักเท่าไหร่กับชีวิตแบบนี้แต่ก็
ไม่รู้สึกว่าแย่อะไรนัก  เจ้ารู้สึกผิดหวังกับชีวิต แต่ก็ไม่รู้สึกว่าลำบากมาก
พอที่จะทำอะไรกับมัน  เจ้าเห็นหรือยังว่ามันน่าสลดใจสักแค่ไหน
    ”เมื่อเจ้ามีงานที่เจ้าไม่ชอบ งานที่ไม่ทำให้เจ้าได้รับในสิ่งที่เป็น
ความต้องการพื้นฐาน และไม่ทำให้เจ้าได้รับความพึงพอใจส่วนตัว หรือมี
ชีวิตที่เจ้าต้องการอย่างแท้จริง การตัดสินใจที่จะลาออกและหางานใหม่
นั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย  แต่เมื่องานที่เจ้าไม่ชอบนี้ทำให้เจ้าสามารถมีเงินมา
จ่ายหนี้มีชีวิตรอด และพึงพอใจกับความสุขสบายเล็กๆน้อยๆ  ดังนั้น
มันจึงง่ายที่เจ้าจะตกลงไปในหลุมพรางของความพึงพอใจซึ่งอย่างน้อย
ก็ทำให้เรามีอะไรบางอย่าง  ยังไงก็ตามเจ้าก็คิดว่า สำหรับบางคนการมี
งานทำก็นับว่าเป็นบุญแล้ว
”ก็เหมือนกับวัวนั่นแหละ ทัศนคตินี้มักจะคอยรั้งเราเอาไว้  หาก
เจ้าไม่กำจัดมันออกไปเสีย เจ้าก็ไม่มีวันจะได้เจออะไรที่ต่างไปจากเดิม
เจ้าจะถูกประณามที่ปล่อยให้ชีวิตตกเป็นเหยื่อของขีดจำกัดที่เจ้าสร้างขึ้น
มาเอง  มันดูเหมือนกับว่า เจ้าได้ตัดสินใจที่จะเอาผ้ามาผูกตาตนเองตั้งแต่จุดเริ่มต้น และจากนั้นก็ได้แต่ภาวนาให้เกิดแต่สิ่งที่ดีที่สุด„
     ศิษย์หนุ่มยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เขารู้สึกทึ่งกับการสังเกตการณ์ของครู
และเริ่มที่จะมองเห็นสิ่งที่ครูสอนชัดเจนขึ้น  ”เราต่างก็มี‘วัวหลายตัว’
ในชีวิต เราต่างก็แบกรับภาระที่หนักอึ้งจากความเชื่อที่ผิดๆของเราเอง
ข้ออ้าง ความกลัว และเหตุผลของเรา  ที่น่าเศร้าใจก็คือ ข้อจำกัดที่เรา
ขีดไว้ให้ตัวเองนี้จะทำให้ชีวิตของเราอยู่กับความธรรมดาแบบคนทั่วไป„
”ไม่เพียงแต่เท่านั้นหรอก„  ครูชรากล่าวเสริม  ”หลายคนยังคง
อดทนกับข้ออ้างว่า ทำไมพวกเขาจึงไม่ใช้ชีวิตอย่างที่พวกเขาใฝ่ฝัน  พวก
เขาสร้างข้ออ้างที่เหลือเชื่อขึ้นมาเพื่อที่จะอธิบายเรื่องราวของตนให้ผู้อื่น
ฟัง จากนั้นก็ใช้ชีวิตที่สับสนวุ่นวายต่อไป ขณะที่เขาตระหนักว่า คำ
อธิบายเหล่านั้นแม้จะฟังดูน่าเชื่อสำหรับคนอื่น แต่มันก็ไม่มีประโยชน์
อะไรสำหรับตัวเขาเอง„   
     ”ช่างเป็นบทเรียนที่ดีจริงๆครับ„  ชายหนุ่มบอกถึงความรู้สึกของ
เขา และก็เริ่มนับวัวแห่งข้ออ้างของตัวเองในทันที
ตลอดการเดินทางที่เหลือ ชายหนุ่มได้เฝ้าใคร่ครวญถึง ”ข้อ
จำกัด„ ต่างๆที่เขามีมาตลอดชีวิต  เขาสัญญาว่าจะละทิ้งความเชื่อ
ทั้งหมดที่คอยล่ามเขาไว้กับสิ่งพื้นๆและจะลบล้างความธรรมดาอันเป็น
ปกติวิสัยที่คอยกีดขวางไม่ให้เขาใช้ศักยภาพที่แท้จริง

     จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ในวันนั้นได้กลายเป็นวันเริ่มต้น
ชีวิตใหม่ชีวิตที่จะปลอดจาก ”ข้ออ้างใดๆ" ทั้งสิ้น ชายหนุ่ม
คิด  


ดร.คามิโล ครูซ .....เขียน
อมรรัตน์ ศรีสุรินทร์ .....แปล


วัวตัวนั้น ที่ต้องฆ่า [1]

     กาลครั้งหนึ่ง มีครูผู้ชาญฉลาดและมากประสบการณ์
คนหนึ่งต้องการจะสอนบทเรียนชีวิตแก่ศิษย์ของเขาถึง
เคล็ดลับของการมีชีวิตที่มีความสุขและเจริญรุ่งเรือง
แต่ครูเฒ่าก็รู้ดีว่าคนส่วนใหญ่มักจะต้องเผชิญกับภาระและความ
ยุ่งยากที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในขณะที่ไขว่คว้าหาความสำเร็จ เขาจึงคิดว่าบท
เรียนแรกที่จะสอนน่าจะเป็นบทที่อธิบายว่า ”ทำไมคนส่วนใหญ่จึงยัง
มีชีวิตธรรมดาๆ„
     ครูชราคิดว่ายังมีชายหญิงจำนวนมากที่ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถ
เอาชนะอุปสรรคที่กีดขวางความสำเร็จของตนเอง และลงเอยด้วยการมี
ชีวิตที่ไม่สมหวังและสุดจะทานทนได้  ครูผู้นี้รู้ดีว่าการจะให้ศิษย์หนุ่ม
ของเขาเข้าใจถึงบทเรียนสำคัญนี้ศิษย์จะต้องได้ประจักษ์ด้วยตาตนเอง
ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเรายอมให้”ความธรรมดาสามัญ„ มาควบคุมชีวิต
ของเรา
     เพื่อสอนบทเรียนที่สำคัญบทนี้ครูจึงตัดสินใจออกเดินทางไป
กับศิษย์ เพื่อไปยังหมู่บ้านที่ยากจนที่สุดในจังหวัด  หมู่บ้านแห่งนี้ดู
แร้นแค้น รกร้างไปทั่วบริเวณ และผู้ที่อาศัยในหมู่บ้านนี้ก็ดูเหมือนจะถอดใจให้กับชะตากรรมของตนไปแล้ว
     ในทันทีที่ไปถึง ครูชราก็ได้ขอให้เด็กชายในพื้นที่คนหนึ่งช่วยเสาะ
หาบ้านที่ยากจนที่สุดในแถบนี้และที่นั่นจะเป็นแหล่งพักพิงของพวกเขา
ในค่ำคืนนั้นด้วย
     หลังจากที่เดินไปไม่นาน พวกเขาก็มาถึงท้ายหมู่บ้าน  ครูและศิษย์
ก็มาหยุดยืนอยู่หน้ากระท่อมแห่งหนึ่งซึ่งมีสภาพทรุดโทรมที่สุดเท่าที่พวก
เขาเคยพบเห็นกระท่อมที่จะพังมิพังแหล่นี้อยู่ริมนอกสุดของบ้านที่สร้างใกล้กัน
เป็นกระจุกเล็ก ๆ ในเขตชนบทแห่งนี้และดูจะเป็นกระท่อมของ
ครอบครัวที่ยากจนข้นแค้นที่สุดของที่นี่  ผนังกระท่อมที่เห็นนั้น ทรงตัว
ตั้งอยู่ได้ราวปาฏิหาริย์เพราะดูเหมือนว่ามันพร้อมที่จะทลายลงได้ทุกเมื่อ
ส่วนหลังคามุงจากที่เสื่อมโทรมจนไม่น่าจะคุ้มแดดคุ้มฝนได้นั้น ก็มีน้ำ
หยดไหลรั่วลงมา  ข้างๆผนังของกระท่อมก็มีขยะทุกชนิดกองสุมรวม
กัน ทำให้ไม่น่าดูยิ่งกว่าเดิม
      หลังจากที่เด็กชายเดินไปบอกเจ้าของบ้านว่ามีชายแปลกหน้าสอง
คนมาหา เจ้าของบ้านก็เดินออกมาทักทายผู้มาเยือนทั้งสองอย่างเป็นมิตร
”สวัสดีท่านเจ้าบ้านผู้มีน้ำใจ„  ครูชรากล่าวตอบ  ”ท่านจะ
อนุญาตให้นักเดินทางที่แสนจะเหน็ดเหนื่อยสองคนได้พักอาศัยกับท่าน
ในค่ำคืนนี้ได้ไหม„
”เราอยู่กันแออัดมาก แต่เราก็ยินดีต้อนรับท่านถ้าท่านไม่รังเกียจ„
     เมื่อครูและศิษย์ก้าวเข้าไปข้างใน พวกเขาก็ถึงกับอึ้ง เมื่อเห็นว่า
กระท่อมรูหนูที่มีเนื้อที่ไม่มากไปกว่า 150 ตารางฟุตแห่งนี้เป็นที่พักอาศัย
ของครอบครัวที่มีถึงแปดชีวิต คือ พ่อ แม่ ลูกสี่คน และตายายอีกสอง
คน ซึ่งต่างก็พยายามแบ่งเนื้อที่ให้แก่กันภายใต้สภาพที่เบียดเสียดนั้น
สารรูปผอมเก้งก้างและเสื้อผ้าขาดวิ่นบ่งบอกถึงความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้นอดอยาก  หน้าตาที่หมองเศร้าและศีรษะที่ก้มต่ำแสดงให้เห็นว่า
ความยากจนไม่เพียงแต่เข้าครอบงำร่างกายของคนบ้านนี้แต่มันซึมลึก
เข้าไปในขั้วหัวใจของสมาชิกทุกชีวิตเลยทีเดียว
     ผู้มาเยือนทั้งสองอดไม่ได้ที่จะชำเลืองแลไปรอบๆ และก็อดสงสัย
ไม่ได้ว่าในกระท่อมหลังนี้จะมีอะไรที่เป็นสิ่งของมีค่าบ้างท่ามกลางความ
แร้นแค้นขนาดนี้  ปรากฏว่าไม่มีอะไรเลย!
     ผู้มาเยือนทั้งสองก้าวออกไปนอกบ้าน พวกเขาได้พบว่าสิ่งที่เข้าใจ
ตั้งแต่แรกนั้นไม่ถูกต้อง  ที่น่าแปลกใจก็คือครอบครัวนี้ยังมีทรัพย์สินที่
ไม่ธรรมดา จะว่าเป็นทรัพย์สินชิ้นพิเศษสุดก็ว่าได้  ภายใต้สภาวการณ์
อย่างนั้น ครอบครัวนี้มี”วัว„ อยู่ในครอบครองหนึ่งตัว
แม่วัวตัวนี้ไม่น่าดูสักเท่าไร แต่ปรากฏว่ากิจวัตรของทั้งครอบครัว
ต่างก็เกี่ยวข้องกับแม่วัวทั้งสิ้น  พวกเขาต้อง ”เลี้ยงวัว„ ”ดูแลให้น้ำวัว„
”ผูกวัวไว้ให้ดี„ ”ต้องไม่ลืมพาวัวไปเล็มหญ้าที่ทุ่งหญ้า„ ”รีดนมวัว!„  พูด
ได้ว่าแม่วัวตัวนี้มีบทบาทมากเหลือเกินในครอบครัวนี้แม้ว่าน้ำนมเพียง
น้อยนิดจากแม่วัวนั้นแทบจะไม่พอประทังชีวิตคนทั้งแปด   
     อย่างไรก็ดีดูเหมือนว่าแม่วัวตัวนี้จะถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่ยิ่ง
ใหญ่กว่านั้น เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากความ
ยากจนอย่างที่สุด  ในแหล่งที่ทุกอย่างขัดสนไปหมดนั้น การมีทรัพย์สิน
ที่ ”มีค่า„ ทำให้พวกเขาได้รับการนับหน้าถือตาจากเพื่อนบ้าน หากว่าไม่
ถูกเพื่อนบ้านอิจฉาเสียก่อน
      และที่แห่งนั้น ก็เป็นที่ซึ่งทั้งครูชราและศิษย์หนุ่มได้พักอาศัยใน
คืนนั้น ท่ามกลางสภาพที่เลวร้ายและยุ่งเหยิง
 
     เช้าวันใหม่ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น ทั้งคู่ตื่นขึ้นอย่างเงียบๆ
โดยระแวดระวังไม่ทำให้ใครตื่น เพื่อออกเดินทางต่อไป

ชายหนุ่มผู้เป็นศิษย์มองไปรอบๆ ราวกับว่าจะเก็บภาพสถานที่
แร้นแค้นแห่งนั้นไว้ในความทรงจำ  จะว่าไปแล้ว เขาก็ไม่แน่ใจว่าได้รับ
บทเรียนอะไรที่ครูของเขาตั้งใจจะสอน  อย่างไรก็ดีก่อนที่พวกเขาจะ
ออกเดินทางสู่ท้องถนน ครูชรากระซิบกับเขาว่า  ”ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่
เจ้าจะได้เรียนรู้บทเรียนที่พาเรามาสู่สถานที่อัตคัดแห่งนี้„
     ในช่วงเวลาสั้นๆที่ศิษย์หนุ่มได้มาพำนักอยู่ที่นี่ เขาได้เห็นชีวิตที่
แทบจะไม่มีอะไรเลย  แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้ครอบครัวนี้
ยากจนขนาดนี้  ทำไมพวกเขาจึงยอมให้ตนเองยากจนข้นแค้นได้ถึงเพียง
นี้  อะไรหนอเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขายอมอยู่ที่จุดนั้น
     ครูเฒ่าเดินไปที่แม่วัวอย่างช้าๆ มันถูกผูกไว้กับเสารั้วที่ง่อนแง่น
และอยู่ห่างออกไปจากตัวบ้านไม่ถึงยี่สิบหลา  เมื่อพวกเขาเดินมาใกล้แม่
วัวจนเหลือระยะแค่ก้าวเดียว ชายชราก็ดึงดาบสั้นออกจากปลอกดาบที่
ถืออยู่  ชายหนุ่มผู้เป็นศิษย์งุนงงมาก  เมื่อชายชราเงื้อมือขึ้น ชายหนุ่มก็
ต้องตะลึงกับสิ่งที่คิดว่ากำลังจะเกิด  เขามองดูอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
ขณะที่ครูของเขาใช้มีดปาดคอวัวอย่างรวดเร็ว  บาดแผลฉกรรจ์ที่เกิดขึ้น
ทำให้แม่วัวทรุดลงกับพื้นและสิ้นใจในที่สุด
..........................โปรดติดตามตอนต่อไป................................